เมนู

4. สัตตวัสสสูตร



มารหาโอกาสทำลายพระพุทธเจ้าสิ้น 7 ปี



[496] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับที่ต้นอชปาลนิโครธ ริ่มฝั่งแม่
น้ำเนรัญชรา ณ ตำบลอุรุเวลา.
ก็สมัยนั้นแล มารผู้มีบาปติดตามพระผู้มีพระภาคเจ้า คอยมุ่งหาโอกาส
สิ้น 7 ปี ก็ยังไม่ได้โอกาส.
[497] ภายหลังมารผู้มีบาป จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่
ประทับ ครันแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า
ท่านถูกความโศกทับถมหรือ จึงได้
มาซบเซาอยู่ในป่าอย่างนี้ ท่านเสื่อมจาก
ทรัพย์เครื่องปลื้มใจแล้วหรือ หรือว่ากำลัง
ปรารถนาอยู่ ท่านได้ทำความชั่วอะไร ๆ
ไว้ในบ้านหรือ เหตุไรท่านจึงไม่ทำมิตร
ภาพลับชนทั้งปวงเล่า หรือว่าท่านทำมิตร-
ภาพกับใคร ๆ ไม่สำเร็จ.

[498] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
ดูก่อนมารผู้เป็นเผ่าของบุคคลผู้
ประมาทแล้ว เราขุดรากของความเศร้า
โศกทั้งหมดแล้ว ไม่มีความชั่ว ไม่เศร้า
โศก เพ่งอยู่ เราชนะความติดแน่น กล่าว
คือความโลภในภพทั้งหมด เป็นผู้ไม่มี
อาสวะ เพ่งอยู่.

[499] มารทูลว่า
ถ้าใจของท่านยังข้องอยู่ในสิ่งที่ชน
ทั้งหลาย กล่าวว่า สิ่งนี้เป็นของเรา และว่า
สิ่งนี้เป็นเราแล้ว สมณะ ท่านจักไม่พ้น
เราไปได้.

[500] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
สิ่งที่ชนทั้งหลายกล่าวว่าเป็นของเรา
นั้น ย่อมไม่เป็นของเรา และสิ่งที่ชนทั้ง
หลายกล่าวว่า เป็นเรา ก็ไม่เป็นเราเหมือน
กัน แนะมารผู้มีบาป ท่านจงทราบอย่าง
นี้เถิด แม้ท่านก็จักไม่เห็นทางของเรา.

[501] มารทูลว่า
ถ้าท่านจักรู้ทางอันปลอดภัย เป็นที่
ไปสู่อมตมหานิพพาน ก็จงหลีกไปแต่คน
เดียวเถิด จะพร่ำสอนคนอื่นทำไมเล่า
.
[502] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ชนเหล่าใดมุ่งไปสู่ฝั่ง ย่อมถึงพระ-
นิพพาน อันมิใช่โอกาสของมาร เราถูก
ชนเหล่านั้นถามแล้ว จักบอกว่า สิ่งใด
เป็นความจริง สิ่งนั้นหาอุปธิกิเลสมิได้.

[503] มารทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เหมือนอย่างว่ามีสระโบก-
ขรณีในที่ไม่ไกลบ้านหรือนิคม ในสระนั้นมีปูอยู่ ครั้งนั้น พวกเด็กชายหรือ

พวกเด็กหญิงเป็นอันมาก ออกจากบ้านหรือนิคมนั้นแล้วเข้าไปถึงที่สระโบก
ขรณีนั้นตั้งอยู่ ครั้นแล้วจึงจับปูนั้นขึ้นจากน้ำให้อยู่บนบก พระเจ้าข้า ก็ปูนั้น
ยังก้ามทุก ๆ ก้ามให้ยื่นออก พวกเด็กชายหรือเด็กหญิงเหล่านั้น พึงริดพึงหัก
พึงทำลายก้ามนั้นเสียทุก ๆ ก้ามด้วยไม้หรือก้อนหิน พระเจ้าข้า ก็เมื่อเป็นอย่าง
นั้น ปูนั้นมีก้ามถูกริด ถูกหัก ถูกทำลายเสียหมดแล้ว ย่อมไม่อาจก้าวลงไป
สู่สระโบกขรณีนั้นอีกเหมือนแต่ก่อน ฉันใด อารมณ์แม้ทุกชนิดอันเป็นวิสัย
ของมาร อันให้สัตว์เสพผิด ทำให้สัตว์ดิ้นรน อารมณ์นั้นทั้งหมด อันพระผู้
มีพระภาคเจ้าตัดรอนหักรานย่ำยีเสียหมดแล้ว บัดนี้ ข้าพระองค์ผู้คอยหาโอกาส
ย่อมไม่อาจเข้าไปใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้าได้อีก ฉันนั้น.
[504] ครั้นแล้ว มารผู้มีบาปได้กล่าวคาถาอันเป็นที่ตั้งแห่งความ
เบื่อหน่ายเหล่านั้น ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ฝูงกาเห็นก้อนหินมีสีดุจมันข้น จึง
บินเข่าไปใกล้ด้วยเข้าใจว่าเราทั้งหลาย พึง
ประสบอาหารในที่นี้เป็นแน่ ความยินดีพึง
มีโดยแท้.

เมื่อพยายามอยู่ไม่ได้อาหารสม
ประสงค์ในที่นั้น จึงบินหลีกไป.
ข้าแต่พระโคดม ข้าพระองค์ก็เหมือน
กามาพบศิลา ฉะนั้น ขอหลีกไป.

ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปครั้น กล่าวคาถาอันเป็นที่ตั้งแห่งความเบื่อหน่าย
เหล่านี้ ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว จึงหลีกจากที่นั้น ไปนั่งขัดสมาธิที่
พื้นดินไม่ไกลจากพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้นิ่ง เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า
ซบเซา หมดปฏิภาณ เอาไม่ขีดแผ่นดินอยู่.

อรรถกถาสัตตวัสสสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในสัตตวัสสสูตรที่ 4 ต่อไปนี้ :-
บทว่า สตฺต วสฺสานิ ได้แก่ ก่อนตรัสรู้ 6 ปี หลังตรัสรู้ 1 ปี.
บทว่า โอตาราเปกฺโข ได้แก่ มารจ้องอยู่นาน อย่างนี้ว่า ถ้าเราเห็นกาย
ทวารเป็นต้น บางทวารของพระสมณโคดมไม่เหมาะสม เราก็จะท้วงเธอ ดังนี้.
บทว่า อลภมาโน ได้แก่ ไม่เห็นความผิดพลาดแม้เพียงละอองธุลี. ด้วย
เหตุนั้น พระคันถรจนาจารย์จึงกล่าวว่า มารผู้มีบาปติดตามพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทุกฝีก้าวอายุ 7 ปี ก็ไม่พบความผิดพลาดของพระสัมพุทธเจ้าผู้มีสิริ. บทว่า
อุปสงฺกมิ ความว่า มารเข้าไปหาด้วยคิดว่า วันนี้ เราจักมาอภิวาทพระสมณ-
โคดม. ด้วยบทว่า ฌายสิ มารกล่าวว่า ท่านนั่งซบเซาอยู่. บทว่า วิตฺตํ
นุ ชินฺโน
ความว่า ท่านเสื่อมเสียทรัพย์ไปร้อยหนึ่งหรือพันหนึ่ง. บทว่า
อาคุนฺนุ คามสฺมึ ความว่า ได้กระทำกรรมชั่วไว้นับไม่ถ้วนภายในบ้าน
ท่านไม่อาจมองหน้าของคนอื่น ๆ ได้แต่นั่งซบเซา เที่ยวอยู่แต่ในป่าหรือ.
บทว่า สกฺขึ ได้แก่ ความเป็นมิตร.
บทว่า ปลิขาย แปลว่า ขุดแล้ว. บทว่า ภวโลภชปฺปํ ได้แก่
ตัณหา กล่าวคือความอยากได้ภพ. บทว่า อนาสโว ฌายามิ ความว่า เรา
ไม่มีตัณหา เพ่งอยู่ด้วยฌานทั้งสอง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกมารว่า
ปมัตตพันธุ จริงอยู่ มารนั้นเป็นพวกพ้องของตนบางพวกที่มัวเมาอยู่ในโลก.
บทว่า สเจ มคฺคํ อนุพุทฺธํ ความว่า ผิว่า ท่านตรัสรู้ตามมรรคไซร้.
บทว่า อเปหิ ได้แก่ จงไปเสีย. บทว่า อมจฺจุเธยฺยํ ได้แก่ พระนิพพาน
อันไม่เป็นโอกาสแห่งมัจจุราช. บทว่า ปารคามิโน ความว่า ทั้งคนที่ถึง
ฝั่งแล้ว ทั้งคนที่ประสงค์จะไปสู่ฝั่ง ก็ชื่อว่า ปารคามิโน.